ต่อเนื่องจากพาร์ทที่แล้วที่เราบอกถึงการเริ่มต้นใช้งานและการตั้งค่าหน้าจอบนไมล์จักรยานของคุณตอนจะใช้ปั่นกันว่าตั้งอะไรยังไงดี ทำยังไงถึงจะเคยชินกับค่าที่เราเห็น วันนี้เรามาต่อกันในส่วนที่สองครับจะมีอะไรที่ลึกลงไปอีกเยอะเลย มาดูกันดีกว่าครับ

มาดูในเรื่องของ KILOJOULES, AVERAGE POWER และ NORMALIZED POWER ครับ ค่าเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการปั่นจักรยานและการวิเคราะห์อะไรบางอย่างในการปั่นของคุณ เราจะค่อยๆ อธิบายว่าสิ่งเหล่านี้นำไปใช้กับการฝึกซ้อมและการแข่งจักรยานได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ควรมีค่าเหล่านี้ไว้บนเฮดยูนิตของคุณเช่นกัน

KiloJoules – ค่าวัตต์เป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณใช้พลังงานไปเท่าไรในระหว่างการปั่น พลังงานของคุณจะถูกใช้มากขึ้นเมื่อคุณปั่นอย่างหนักหน่วง เนื่องจากการรวมกันของแรงที่ใช้ปั่นและการออกแรงในแต่ละจังหวะรอบขาในการปั่นของคุณ หากพูดถึงพลังงานของเรา ในฐานะมนุษย์เรามักจะเคยชินและนึกถึงพลังงานที่ใช้หน่วยเป็นแคลอรี่ (ตัวย่อ Cal) และศัพท์สำหรับแคลอรี่ที่เราเผาผลาญคือ “กิโลแคลอรี่” ค่าพวกนี้จะมีประโยชน์สำหรับการฝึกซ้อมโดยการใช้พาวเวอร์มิเตอร์และพลังงานในการปั่น ซึ่งเป็นค่าที่คุณสร้างขึ้นมาเองโดยการออกแรงปั่นจักรยานของคุณและการใช้พาวเวอร์มิเตอร์ โดยค่านั้นคือ “กิโลจูล” มันคือการบอกว่าว่าสิ่งที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่กำหนดมาต้องใช้แรงเท่าใดและใช้พลังงานเท่าใด นี่คือสิ่งที่พาวเวอร์มิเตอร์ของคุณจะสามารถต่อยอดทำให้มันแสดงค่านี้บนเฮดยูนิตให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิโลแคลอรี่กับกิโลจูลได้ ซึ่งมันจะช่วยคุณวางแผนโภชนาการได้อย่างดีเลยทีเดียว

นี่คือวิธีการคำนวนของมัน 1 กิโลแคลอรี่ เท่ากับ ประมาณ 4 กิโลจูล (ที่จริงแล้วคือ 4.184) มนุษย์ใช้แรงถีบจักรยานมีประสิทธิภาพประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจจะค่อนข้างสูง แต่สำหรับ 100 เปอร์เซ็นต์ มันหมายความว่าใช้เพียงประมาณหนึ่งในสี่ของพลังงานชีวภาพที่คุณสร้างขึ้น ในระหว่างการปั่นจักรยานพลังงานชีวภาพ (กิโลแคลอรี่) จะถูกรวมเข้ากับพลังงานกลที่ขับเคลื่อนจักรยาน (กิโลจูล) ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่จะหายไปจากความร้อนที่ร่างกายของคุณขับออกมาไม่ว่าจะเป็นวันที่อากาศร้อนหรือเย็นก็ตาม ดังนั้นหากคุณมีประสิทธิภาพ 25 เปอร์เซ็นต์ ในแง่ของพลังงานกลที่สร้างขึ้น และ 1 กิโลแคลอรี่ที่มีค่าประมาณ 4 กิโลจูลจริงๆ แล้ว มันจะมีเพียง 1 กิโลจูลเท่านั้นที่รับรู้ว่าเป็นพลังงานเชิงกลสำหรับทุกๆ 1 กิโลแคลอรี่ของพลังงานชีวภาพที่เผาผลาญจริงๆ ทั้งหมดนี้หมายความว่าเมื่อเฮดยูนิตของคุณแสดงค่าที่ 500 กิโลจูลเมื่อสิ้นสุดการปั่น คุณจะใช้พลังงานไปประมาณ 500 กิโลแคลอรี่ นั่นอาจสูงกว่าตัวเลขจริงประมาณ 10% เพราะว่ามันเป็นค่าที่เป็นมาตราฐานสำหรับนักปั่นทุกคน นักปั่นแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาพร่างกายค่านี้จึงทำให้พอทราบแบบมตราฐาน จำนวนนี้ใกล้เคียงเพียงพอสำหรับการฝึกซ้อมของทุกๆ คน และมีประโยชน์มากอย่างที่เราจะนำไปใช้ในการวางแผนโภชนาการของตัวเองได้

Normalized Power – หากคุณใช้สปีดเซ็นเซอร์หรือฮาร์ทเรตมอนิเตอร์ขณะปั่นจักรยาน คุณจะคุ้นเคยกับความเร็วเฉลี่ย (Average Speed) และอัตราการเต้นของหัวใจโดยเฉลี่ย (Average Heart rate ) และพลังงานเฉลี่ย (Average Power) ซึ่ง Normalized Power มีหน่วยเป็นเมตริกจะคล้ายกันกับการเฉลี่ยอัตราการเต้นของหัวใจกับความเร็ว คือการนำจำนวนวัตต์ทั้งหมดที่สร้างขึ้นระหว่างปั่นจักรยานหารด้วยจำนวนหน่วยเวลา เช่นนาที ในระหว่างที่รวบรวมข้อมูล การคำนวณนี้จะเกิดขึ้นภายในเฮดยูนิตของคุณเสมอและสามารถแสดงในระหว่างการปั่นหรือหลังจากการปั่นได้ และสามารถดาวน์โหลดลงคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อวิเคราะห์ผลได้อีกด้วย พลังงานเฉลี่ยค่อนข้างเรียบง่ายมากจนไม่ได้เป็นการวัดที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับวัตถุประสงค์ในการปั่นของเราเสมอไป คุณจึงต้องใช้ Normalized Power (NP) สำหรับการวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในการปั่นของคุณด้วย

ใช้ Normalized Power ประกอบด้วยก็ดีนะ แต่ทำไมไม่ใช้แค่กำลังเฉลี่ย? แม้ว่าบางครั้งเราจะใช้กำลังเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัด แต่มันมักจะอ้างถึง Normalized Power เสมอ Normalized Power เป็นเพียงการแสดงออกของกำลังเฉลี่ยที่ปรับตามช่วงของความแปรปรวนระหว่างการปั่นจักรยานคือมันจะแสดงให้เห็นแรงที่เราใช้ในขณะนั้นเลย ดังนั้นมันจึงสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามหรือการเผาผลาญของการปั่นจักรยานมากกว่ากำลังเฉลี่ย ดังนั้นวิธีหนึ่งในการทำให้ข้อมูลเป็นมาตรฐานคือการแบ่งชุดข้อมูลออกจากกัน ตัวอย่างเช่นเราสามารถทำให้พลังของนักปั่นหลายคนกลับสู่สภาวะปกติ ในการทำเช่นนี้เราแบ่งกำลังตามน้ำหนักตัว ตัวอย่างเช่นหากผู้ขับขี่ A มีน้ำหนัก 180 ปอนด์และกำลังเฉลี่ยของเขาสำหรับการปั่นแต่ละครั้งคือ 210 วัตต์ กำลังของเขาที่ปรับให้เป็นมาตรฐานสำหรับน้ำหนักจะเป็น 1.17 วัตต์ต่อปอนด์ (210 ÷ 180 = 1.17) เราสามารถเปรียบเทียบกับข้อมูลของผู้ขับขี่ B ในสูตรเดียวกัน  ถ้า B หนัก 120 ปอนด์และมีกำลังเฉลี่ย 150 วัตต์ พลังงานที่ปรับให้เป็นมาตรฐานสำหรับน้ำหนักจะเป็น 1.25 (150 ÷ ​​120 = 1.25)  ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าแม้ว่า A จะให้กำลังเฉลี่ยมากกว่า B มาก แต่ B ก็มีพลังงานมากกว่าปอนด์ต่อปอนด์ ความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญมากภายใต้สถานการณ์บางอย่าง เช่น การปีนเขา   สรุป NP สามารถใช้เปรียบเทียบช่วงความแปรปรวนของกำลังระหว่างการปั่นจักรยานกับกำลังเฉลี่ยของการปั่นจักรยานเพื่อนำไปคำนวนเพื่อต่อยอดได้ครับ

การวัดค่าวัตต์ที่ออกมาจากพาวเวอร์มิเตอร์ค่อนข้างมีการผันแปรและเครื่องวัดพลังงานหรือพาวเวอร์มิเตอร์ก็มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงค่าวัตต์ขณะตอนปั่นสูงเช่นกัน ในขณะที่อัตราการเต้นของหัวใจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักขณะที่เราทำการปั่นไปเรื่อยๆ หากคุณเป็นเครื่องจักรคุณสร้างพลังที่มั่นคงและสม่ำเสมอได้ แต่คุณไม่ใช่เครื่องจักร คุณเป็นมนุษย์! และมนุษย์ใช้พลังงานไปกับการปั่นจักรยานให้พุ่งและไปได้ไว ทุกครั้งที่มีค่าวัตต์พุ่งสูงขึ้นคุณจะใช้พลังงานมากขึ้นกว่าที่คุณปั่นด้วยความเร็วคงที่ พลังงานโดยเฉลี่ยไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงพลังงานในนาทีที่เราปั่นอยู่ ดังนั้นในพลังงานที่คุณใช้ในการเหยียบบันไดจักรยานแต่ละทีจึงดูที่ Normalized Power แนวคิดของ Normalized Power มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการฝึกซ้อมกับพาวเวอร์มิเตอร์เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่แท้จริงของการปั่นจักรยานโดยพิจารณาจากความแปรปรวนและแรงที่เราปั่นขณะนั้น สมมุติว่าเมื่อเรามีเวลาเพียง 1 ชั่วโมงในการปั่นจักรยานและกำลังปั่นอยู่บนเขาที่มีความยาวระยะทาง 1 ไมล์ ซึ่งมีเกรดความชันประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะปั่นอยู่เส้นทางที่เป็นเนินเขาเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ในการไต่เขาเราจะใช้แรงและใช้ความพยายามอย่างหนักโดยมีการกระชากสั้นๆ หลายครั้งจนสุดทางปั่น แต่เมื่ออยู่ที่ยอดเขาแล้วจะลงเขาเราก็แค่ไหลลงไม่ต้องปั่น เมื่อปั่นจบหลังจาก 1 ชั่วโมง กำลังเฉลี่ยที่ออกมาเท่ากับ 141 วัตต์ ในวันถัดไปเราอาจมีอาการเหนื่อยจากการปั่นหนักๆ เมื่อวันก่อน จึงตัดสินใจไปปั่นในสภาพเส้นทางเป็นทางราบระดับปานกลาง ปรากฎว่าสิ่งที่ออกมาคือกำลังเฉลี่ยเท่ากับ 141 วัตต์อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เส้นทางต่างกันและความชันต่างกัน การเผาผลาญแคลอรี่ต่อชั่วโมงในการปีนเขาและลงเขามากกว่าที่ปั่นในทางราบระดับกลาง ในความเป็นจริง NP จะสะท้อนความแตกต่างนี้ออกมาให้เห็นและมันจะแสดงแรงที่เราใช้ในขณะที่เรากดแรงไปสู่บันไดจักรยานขณะนั้นเลย นั่นเป็นเหตุผลที่เราควรจะใช้ NP เพื่อการปั่นและการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนใหญ่ในการปั่นของเราด้วย โปรดติดตามพาร์ทต่อไป